เกิร์ด (GERD) - โรคกรดไหลย้อน
เกิร์ด (GERD) - โรคกรดไหลย้อน
ปัจจุบันนี้ที่แผนกอายุรศาสตร์ของโรงพยาบาลต่าง ๆ มีผู้ป่วยเป็น “เกิร์ด”(GERD) หรือ โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease)จำนวน
มาก ซึ่งหลายคนยังมีความสงสัยและไม่เข้าใจว่า โรคกรดไหลย้อนนั้น
หมายถึงอะไร เกิดได้อย่างไร มีอันตรายต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด
และการดูแลรักษารวมทั้งการปฏิบัติตนควรทำอย่างไร
บทความนี้เขียนเพื่อตอบคำถามต่าง ๆดังกล่าว
เพื่อให้ผู้อ่านรักษาตนให้หลุดพ้นความทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน
“เกิร์ด”หรือ โรคกรดไหลย้อน หมายถึงอะไร ?
โรคกรดไหลย้อน หมายถึง
ภาวะที่มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหารซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด
ไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ส่งผลให้มีอาการระคายบริเวณลำคอ
และแสบอกหรือจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่
รวมทั้งมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้าย ๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร
ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาลดกรด
(antacids) ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดมารับประทานเพื่อบรรเทาอาการอยู่เรื่อย
ๆ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด
จึงพบว่ามีผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้น
โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุมาจากอะไร?
ในภาวะปกติ
ร่างกายมีกลไกการป้องกันการไหลย้อนของน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอด
อาหาร โดยการทำงานของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower esophageal sphincter,
LES) ซึ่งหูรูดนี้จะคลายตัวขณะที่มีการกลืนอาหาร
เพื่อให้อาหารผ่านลงสู่กระเพาะอาหาร
และหดตัวปิดทันทีเพื่อไม่ให้อาหารและกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปใน
หลอดอาหาร
เมื่อประสิทธิภาพในการทำงานของกลไกการควบคุมนี้เสื่อมลงหรือบกพร่อง
จึงเกิดโรคกรดไหลย้อน ซึ่งอาจเกิดเป็นครั้งคราว เป็นพัก ๆ หรือเกิดตลอดเวลา
ส่วนสาเหตุที่ทำให้หูรูดดังกล่าวทำงานผิดปกติยังไม่ทราบแน่ชัด
โรคนี้พบได้บ่อยในบุคคลทุกเพศทุกวัย หูรูดอาจเสื่อมตามอายุ
หูรูดยังเจริญไม่เต็มที่ในเด็กทารก
หรืออาจมีความผิดปกติที่เป็นมาแต่กำเนิด
นอกจากนี้อาจพบในสตรีมีครรภ์ด้วยเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนใน
ร่างกายมีผลต่อการทำงานของหูรูดหลอดอาหาร
นอกจากนี้ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม
ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นเบตาและกลุ่มต้านแคลเซียม ยาต้านคอลิเนอร์จิก
ตลอดจนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
เป็นต้น จะมีผลกระตุ้นการคลายตัวของหูรูดหรือมีการหลั่งกรดมากขึ้น
อาการของโรคกรดไหลย้อน
การรักษาโรคกรดไหลย้อน ทำอย่างไร ?
(1) การรักษาที่สำคัญอยู่ที่ผู้ป่วยเอง คือควรปฏิบัติตน ดังนี้
-พฤติกรรมการบริโภค
-พฤติกรรมการดำเนินชีวิต
(2) การรักษาด้วยยา
กรณีที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
จำเป็นต้องใช้ยาร่วมด้วย ควรรับประทานยาตามกำหนดอย่างเคร่งครัด
และถ้ามีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
(3) การรักษาโดยการผ่าตัด
ในรายที่ใช้ยาไม่ได้ผลหรือมีภาวะแทรกซ้อน อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดซ่อมแซมหูรูด
ภาวะแทรกซ้อนของโรคกรดไหลย้อน เป็นอย่างไร?
แม้ว่าโรคกรดไหลย้อน ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
แต่เป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมาน
รวมทั้งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงาน
ดังนั้นกรณีที่ท่านมีอาการของโรคนี้
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคต่อไป
โปรดให้ความสนใจเพราะถ้าละเลยไม่ยอมรักษา เมื่อเป็นเรื้อรัง
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้แก่
“เพื่อสุขภาพ ปรับพฤติกรรม ใช้ยาถูกต้อง ป้องกันโรคกรดไหลย้อน”
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น