หน้าเว็บ

น้ำยาล้างจาน แก้ความหมองคล้ำ และ คราบเหงื่อเครื่องประดับที่ทำจากเงินได้


Photobucket


          หลายท่านคงเกิดความสงสัยเวลาที่จะหยิบเครื่องประดับเงินขึ้นมาสวมใส่ ว่าเอ๊ะ... ไม่ได้เอาไปโดนสารเคมีอะไรที่เป็นข้อห้าม ไม่ได้หยิบจับหรือเอามาใส่นานแล้วนะเนี่ย แต่ทำไมมันถึงได้ ดำให้ต้องมานั่งขัดถูเช็ดออกก่อนสวมใส่อยู่บ่อยๆ เสียเวลาจริงๆ ... ใครที่ประสบปัญหานี้ มาลองอ่านคำตอบกันได้เลยค่ะ
จาก คำถามนี้ สาเหตุที่ชัดเจนที่ทำให้ตัวเรือนเงินนั้นดำก็คือ การไม่ได้หยิบเครื่องประดับเงินขึ้นมาสวมใส่เป็นระยะเวลานานนี่แหละค่ะ คราบเหงื่อ คราบเครื่องสำอาง โลชั่น หรือคราบอื่นๆยังคงค้างอยู่ที่ตัวเครื่องเงิน เมื่อไม่ได้ทำความสะอาดก็ทำให้ตัวเรือนคล้ำหรือดำได้ค่ะ
หรือ หากแม้จะใส่บ่อยๆก็ตาม ก็ต้องบอกให้รู้กันว่าเครื่องประดับที่เป็นเงินนั้นเมื่อโดนอากาศจะทำ ปฏิกิริยากับออกซิเจน อีกทั้งยังโดนเหงื่อ ซึ่งในจุดนี้บางคนใส่แล้วเงินยังดูสวยงามปิ๊งเป็นประกาย แต่บางคนกลับหมองเร็ว ขึ้นอยู่กับความเค็มของเหงื่อด้วยค่ะ ถ้าเหงื่อเค็มมากก็ส่งผลให้เครื่องประดับเงินมีสภาพดำอย่างที่เห็นค่ะ ดังนั้นเมื่อไม่ได้ใช้ควรเก็บอยู่ในถุงหรือบรรจุภัณฑ์อื่นๆทีเป็นสุญญากาศนะ คะ 
อีก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครื่องเงินของคุณเกิดอาการดำหรือหมองลงไปนั้น อาจเป็นเพราะว่าเปอร์เซ็นต์ที่เป็นส่วมผสมของเงินนั้นมีน้อย หรือก็คือยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ของเงินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เงินหมองช้ามากเท่านั้น มาตรฐานของเงินที่ใช้ในปัจจุบันคือ 925 ค่ะ (92.5%) ดังนั้นเมื่อจะเลือกซื้อเครื่องประดับที่เป็นเงินเมื่อไร ควรสอบถามให้แน่ใจทุกครั้งว่านั่นทำจากเงินแท้ 925 ก่อนทุกครั้งนะคะ
สุด ท้ายนี้เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยค่ะ ถ้าเงินนั้นชุบด้วยทองคำขาวหรือโรเดียม ก็จะให้สีที่แวววาวกว่าเดิม สวยกว่าเดิม และไม่ดำเป็นระยะเวลา 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับความหนาของการชุบนะคะ
เมื่อ ทราบถึงสาเหตุของการทำให้เครื่องเงินดำหรือหมองลงไปแล้ว ก็อย่าคิดอะไรมากเลยค่ะ อย่าไปจิตตก หรือคิดมากว่าทำไมเครื่องเงินของท่านถึงได้ดำ เหตุผลก็ตามที่บอกไว้เลยค่ะ ก่อนจะจากกันขอฝากคติการมีเครื่องประดับไว้ในครอบครองกันสักนิดนะคะ ซื้อใส่ก็ต้องขยันใส่ ซื้อเก็บก็ต้องขยันเช็ด ขอให้ใส่เครื่องประดับอย่างมีความสุขค่ะทุกท่าน (^_^)
  
                          วิธีแก้การหมองคล้ำ และคราบเหงื่อ ของเครื่องประดับเงิน โดยน้ำยาล้างจาน
ลองนำไปทอลองทำด้วยตัวเองนะคะง่ายนิดเดียว โดยนำน้ำยาล้างจานเทลงในถ้วยแก้วแล้วผสมน้ำลงไปเล็กน้อย เคล้าน้ำยาล้างจานกับน้ำให้เข้ากันจนเกิดฟอง จากนั้นนำเครื่องประดับที่ทำจากเงินที่เราเตรียมที่จะล้างแช่ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
 ของเครื่องประดับเงิน ของเราก็จะมันวาว เงางามอย่างเห็นได้ชัด

ฉันเป็นไมเกรน!!!


                                                                  ไมเกรนคือ?
                 อาการปวดหัวแบบ ไมเกรน จะเป็นอาการปวดที่สร้างความรำคาญ ทรมานให้กับผู้ป่วย โดยจะมีตั้งแต่ระดับปานกลางไปจนถึงมากจนกระทบกับการดำรงชีวิตประจำวัน อาจจะมีอาการปวดตุ๊บๆ แถวขมับ หรืออาจจะจะปวดบริเวณเบ้าตาเหมือนหัวใจเต้นตุ๊บๆ ที่ปวดน้อยๆ มักจะไม่ใช่ไมเกรน อาการปวดไมเกรนอาจจะปวดได้นาน 2-3 วันหรืออาจจะปวด 2-4 ชั่วโมง และอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการปวด ไมเกรน เวลาหายปวดจะหายสนิท อาการปวด ไมเกรน มักจะมีอาการนำมาก่อนที่จะเกิดอาการปวด เรียก Aura อาจจะเห็นแสงแวบ แสงจ้า ตาพร่ามัว ซึ่งเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนจะมีอาการปวด ไม่แน่เสมอไปที่ว่าอาการปวดหัวข้างเดียวคืออาการปวด ไมเกรน อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น คอตกหมอน เนื้องอก เป็นต้น

พบในคนกลุ่มไหน
ไมเกรน มักจะพบมากในช่วงวัยรุ่นอายุ 10-25 ปี แต่ก็พบในเด็กอายุ 7-8 ขวบได้ แต่พออายุมากขึ้น อาการก็จะลดน้อยลง คนสูงอายุจึงมักไม่มีปัญหาเกี่ยวกับ ไมเกรน หากคนสูงอายุมีอาการปวดหัวรุนแรงมักจะมีสาเหตุมาจากอย่างอื่นมากกว่า เช่น ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ส่วนใหญ่อาการ ไมเกรน มักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พบว่าผู้หญิง 1 ใน 10 คนมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับอาการ ไมเกรน

อาการ

► ปวดศีรษะ ปวดตุ๊บๆแถวขมับ หรืออาจจะจะปวดบริเวณเบ้าตาเหมือนหัวใจเต้นตุ๊บๆอาจจะปวดข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้าง

► ปวดศีรษะมากจนอาจกระทบต่อกิจกรรมต่างๆ ที่ทำในแต่ละวัน จะปวดในช่วง 4-72 ชั่วโมง

► คลื่นไส้อาเจียน

► เบื่ออาหาร

►มักจะปวดเมื่อพบกับสิ่งกระตุ้น เช่น แสงจ้า เย็นหรือร้อนจัด เสียงดัง

► อาจจะมีอาการนำ ที่เรียกว่า Aura คือจะอาจจะเห็นแสงแวบ แสงจ้า ตาพร่ามัว อาการชา

อาการที่ไม่น่าจะใช้ ไมเกรน ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาอาการ

► ผู้ป่วยสูงอายุ (อายุมากกว่า 50 ปี)

► มีอาการปวดศีรษะปวดขึ้นทันทีทันใด โดยมากเกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก

► อาการปวดศีรษะเป็นบ่อยขึ้น รุนแรงขึ้นนานขึ้น

► อาการปวดศีรษะที่พบร่วมกับ ไข้ คอแข็ง ผื่น

► มีอาการทางระบบประสาทอื่นร่วมด้วย เช่น ชัก อ่อนแรงของแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง

สาเหตุ
จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริงของ ไมเกรน แต่บางท่านเชื่อว่าน่าจะมาจากมีสารบางอย่างจากเส้นประสาทในสมองไปทำให้เส้น เลือดแดงในสมองเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ และการปล่อยสารบางอย่างจากเส้นประสาทในสมองออกมาเป็นเหตุให้เกิดอาการปวด ซึ่งน่าจะมีเหตุมาจาก

► อาการเครียด

► อดนอน หรือนอนมากเกินไป

► การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ

► เจอกับแสงจ้า

► ระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่

► สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า

► อาการขาด คาเฟอีน

► กลิ่นเหม็น

► ช่วงมีประจำเดือน

► รับประทานยาขยายหลอดเลือด

► ทานอาหาร ที่มีส่วนผสมของสาร เอมีน ไนไตร และไทรามีน เช่น อาหารพวก เบคอน ฮ๊อทดอกไทรามีน เช่น ไวน์แดง เปปเปอโรนี่ ชีส เนย พิซซ่า ช๊อคโกแลต กล้วยหอม ผงชูรส

การรักษาและการป้องกัน
ถ้าหากเป็นไม่มากและนานๆ เป็นที ก็ซื้อยาแก้ปวดพวก แอสไพริน พาราเซตามอล ไอบูโปรเฟน รับประทานจะบรรเทาอาการได้ใน 30-60 นาที หรือในบางรายที่อาการรุนแรงอาจจะต้องใช้ แอสไพรินร่วมกับพาราเซตามอล

คนที่เป็นบ่อย (มากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน) ยาส่วนใหญ่จะเป็นยาที่ใช้เพื่อลดการเกิดและเบาเทาอาการ ไมเกรน เช่น ยากลุ่ม beta-blockers ยากลุ่ม antidepressants ยากลุ่ม Calcium Channel blocker และยาสำหรับอาการไมเกรนโดยเฉพาะ เช่น sumatriptan นอกจากนี้อาจจะต้องพิจารณายาที่จะแก้ไขสำหรับอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาการปวดร่วมด้วย

ยาต่างๆ ที่ใช้มักมีจุดประสงค์เพื่อรักษาและลดการเกิดอาการที่รุนแรงของ ไมเกรน แต่ในผู้ป่วยบางรายก็อาจจะมีอาการข้างเคียงยาที่รับประทาน จึงมีบางสถานพยาบาลแนะนำให้ให้ใช้การรักษาทางเลือกอื่นร่วมด้วย เช่น การฝังเข็ม aromatherapy ฯลฯ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดร่วมด้วยก็ตามไม่ควรหยุดยาเพื่อรักษาอา การไมเกรนชนิดใดๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน และทางที่ดีก่อนจะใช้โปรแกรมทางเลือกใดๆ ในการรักษาอาการ ไมเกรน ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
แคลซียม และแมกนีเซียม จะช่วยให้บำรุงเส้นเลือดให้แข็งแรงจึงควรที่จะรับประทานสม่ำเสมอสำหรับคนที่ มีอาการ ไมเกรน จะช่วยให้ลดความรุนแรงและความถี่ของการเกิด

Feverfew ก็เป็นพืชที่มีการรายงานว่าสามารถลดอาการอัดเสบและอาการปวดจาก ไมเกรน ได้ดี 5-HTP (5-hydroxytryptophan) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ กรดอมิโน ก็ช่วยเพิ่มระดับ เซอโรโตนินในสมอง จึงทำให้ลดการเกิด ไมเกรน ได้ดี แต่ก็ต้องรับประทานติดต่อกันจึงจะให้ผลดีในการป้องกันการเกิดอาการ ไมเกรน สำหรับ 5-HTP ต้องระมัดระวังหากรับประทานร่วมกับยากลุ่ม antidepressant ที่เรียกว่า SSRI

วิตามินบี ก็มีรายงานว่าสามารถช่วยในรายที่มีอาการ ไมเกรน บ่อยได้

การบรรเทาอาการไมเกรนด้วยตนเอง

► ใช้ก้อนน้ำแข็ง หรือกระเป๋าน้ำแข็งปะคบที่ศีรษะ เพื่อช่วยให้เส้นเลือดหดตัวลงและบรรเทาอาการปวด

► นอนพักในห้องที่เงียบและมืด

► การนวดด้วยกลิ่นหอม ก็จะช่วยผ่อนคลายได้ ส่งผลให้อาการ ไมเกรน บรรเทาลง

► จดบันทึกอาการที่เกิดขึ้น เช่น วันเวลา ระยะเวลาที่ปวด อาการอื่นที่เกิดร่วมด้วย ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงสาเหตุนั้นๆ เช่น แสง เสียงที่รบกวน รอบเดือน (ในผู้หญิง) แสง อาหารที่รับประทาน และ อื่นๆ

► คอยสังเกตอาการก่อนเริ่มมีอาการปวด เช่น อาการหิว ง่วงนอน อ่อนเพลีย แสง เสียงที่รบกวน

► งดอาหารบางชนิดที่อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการ เช่น ผงชูรส พิซซ่า ชีส เหล้า กาแฟ เนย ช๊อกโกแลต เป็นต้น

► พยายามพักผ่อนให้พอเพียง หลีกการอดนอน

► การรับประทานอาการพวกปลาซึ่งจะมีสารอาหาร Omega-3 ก็จะทำให้ลดการเกิดอาการ ไมเกรน ได้

► การออกกำลังกายก็จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการ ไมเกรน ได้เช่นกัน

► คนที่มีอาการบ่อยๆ แนะนำให้ให้พกยาติดตัวไว้อย่างน้อย 1 ชุดเสมอ



โมนาลิซ่า คือ ใคร ?

 

โมนาลิซ่า คือ ใคร?

โมนาลิซา(Mona Lisa) หรือ ลาโชกงด์ (La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดย เลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507)เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์(Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส


     กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์
โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่
ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลง
บน ใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร?

     ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574) จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด

     จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโม นา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้

     นอก จากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพ ของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)
     แม้ ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนัก ของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระ ราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"

     มุมมอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน "จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศ-
นคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ

     สำหรับ เธโอฟิล โกติเอร์ (Theophile Gautier) โมนา ลิซ่า มิได้เป็นสาวน้อยที่มี รอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบ ตามที่วาซารีเคยพรรณนาไว้แต่จะเป็นสาววัย สามสิบที่ร่องรอยแห่งเลือดฝาด และความสดใสแห่งชีวิตเริ่มที่จะอันตรธานหายไป สีของอาภรณ์ และผ้าคลุมผมของเธอ ซึ่งหมองคลํ้าเพราะกาลเวลา ทำให้เธอดูเหมือนหญิง หม้ายที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์โศก

การเดินทางให้อะไรกับเราบ้าง?

 ซากุระเมืองไทย ณ อ่างขาง
ที่แห่งนี้ ประทับใจทั้งด้วยสายตาและความรู้สึก ธรรมชาติสวยงามหมดทุกอย่าง
ธรรมชาติละเลงสีสันได้สวยงามโดดเด่น เกินคำบรรยาย
 มันเผาคลายหนาว
ความสุขเล็กๆที่ให้ความรู้สึกได้ดีทุกครั้งที่มองภาพภาพนี้
และทุกครั้งที่นึกถึง บรรยากาศมันได้จริงๆ จากมันเผาธรรมดาๆ อร่อยขึ้นมาทันที
จินยูนาน
ความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย แต่เป็นอัตลักษณ์ของตัวเอง

การลอยกระทงมีความเป็นมาอย่างไร

                  การลอยกระทงมีความเป็นมาอย่างไรน๊าาาาา

         เทศกาลลอยกระทง ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี หรืออยู่ในราว
เดือนพฤศจิกายนถือว่าเป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยที่มีตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัย
เรียกกันว่า งานลอยพระประทีป หรือลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของ
ประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วง
ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลง เป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม เชื่อกันว่าการ
ลอยกระทง หรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศนั้น กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระ
พุทธบาทที่แม่น้ำนัมมหานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ใน แคว้นทักขิณาของประเทศ
อินเดีย ซึ่งปัจจุบัน เรียกว่าแม่น้ำเนรพุททา สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทง
ได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง
หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทงมีอยู่หลายตำนาน ดังนี้
1. การลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
2. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์ คือบูชาพระนารายณ์ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
3. การลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
4. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
5. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า
6. การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
7. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล
      ลอยกระทง เป็นประเพณีของไทยที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ งานลอยกระทงเริ่มทำตั้งแต่
กลางเดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก น้ำจะเต็มสองฝั่งแม่น้ำ ที่นิยมมากคือ
ช่วงวันเพ็ญเดือน 12 เพราะพระจันทร์เต็มดวง ทำให้แม่น้ำใสสะอาด แสงจันทร์ส่องเวลากลางคืน
เป็นบรรยากาศที่สวยงาม เหมาะแก่การลอยกระทง เดิมพิธีลอยกระทงเรียกว่า พระราชพิธี
จองเปรียงชักโคม ลอยโคม ซึ่งเป็นพิธีของพราหมณ์ เพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวร
พระนารายณ์ และพระพรหม ครั้นคนไทยรับนับถือพระพุทธศาสนา ก็ทำพิธียกโคมเพื่อบูชา
พระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณี ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลอยโคมบูชาพระพุทธบาท
ณ หาดทรายแม่น้ำนัมฆทานที ประเทศอินเดีย
       การลอยกระทงตามสายน้ำนี้ นางนพมาศ สนมเอกของพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย คิดทำกระทง
รูปดอกบัว และรูปต่างๆถวายพระร่วงทรงให้ลอยกระทงตามสายน้ำไหล ในหนังสือ
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระร่วงตรัสว่า "แต่นี่สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ
ถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน  12  ให้ทำโคมลอย  เป็นรูปดอกบัวอุทิศสักการบูชา
พระพุทธบาทนัมฆทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน" ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีการทำกระทงขนาดใหญ่
และสวยงาม ดังพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ของเจ้าพระยาทิพาราชวงศ์ กล่าวไว้ว่า
"ครั้นมาถึงเดือน 12 ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ แรมค่ำหนึ่งพิธีจองเปรียงนั้น เดิมได้โปรดให้ขอแรงพระบรม
วงศานุวงศ์ฝ่ายหน้า ฝ่ายใน และข้าราชการที่มีกำลังพาหนะมาทำกระทงใหญ่ผู้ถูกเกณฑ์ต่อเป็นถังบ้าง
ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้าง 8 ศอกบ้าง 9 ศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอด 10 ศอก 11 ศอกทำประกวด
ประขันกันต่างๆ ทำอย่างเขาพระสุเมรุทวีปทั้ง 4 บ้าง และทำเป็นกระจาดชั้นๆบ้างวิจิตรไปด้วยเครื่องสด
คนทำก็นับร้อย คิดในการลงทุนทำกระทงทั้งค่าเลี้ยงคนและพระช่าง เบ็ดเสร็จก็ถึง 20  ชั่งบ้าง
ย่อมกว่า 20 ชั่งบ้าง" ปัจจุบันประเพณีลอยกระทง มีการจัดงานกันแทบทุกจังหวัด ถือเป็นงานประจำปี
ที่สำคัญ โดยเฉพาะที่จังหวัดเชียงใหม่มีการจัดขบวนแห่กระทงใหญ่ กระทงเล็ก มีการประกวดกระทง
และประกวดธิดางามประจำกระทงด้วย ส่วนการลอยโคม ชาวบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสานยัง
นิยมทำกัน ชาวบ้านจะนำกระดาษ มาทำเป็นโคมขนาดใหญ่สีต่างๆถ้าลอยตอนกลางวัน จะทำให้
โคมลอยโดยใช้ควันไฟ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ก็จะใช้คบจุดที่ปากโคม ให้ควันพุ่งเข้าในโคม ทำให้
ลอยไปตามกระแสลมหนาว เวลากลางคืนแลเห็นแสงไฟโคมบนท้องฟ้าพร้อมกับแสงจันทร์และดวงดาว
สวยงามมากทีเดียว
ประวัติการลอยกระทงในประเทศไทย
       การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือ ลอยโคม
เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของ
พระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคม
ในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำ
สายหนึ่งอยู่ในแค้วนทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา

การอ้างอิงเว็บไซต์

การอ้างอิงจากอินเทอร์เน็ต/เว็บไซต์

             การเขียนอ้างอิงแบบนี้ยังไม่มีการเขียนที่แน่นอน แต่รูปแบบการเขียนอ้างอิงเท่าที่ได้พบเจอและเป็นที่นิยมกัน คือ
ชื่อ//นามสกุล.//ปีที่พิมพ์.//ชื่อเรื่อง.//เข้าถึงได้จาก: URL…………. /./วัน/เดือน/พ.ศ.
นามสกุล, ชื่อย่อ.//ปีที่พิมพ์.//ชื่อเรื่อง.//Available: URL…………. /./mm/dd, yyyy.
หมายเหตุ
- URL จะเป็นลิงค์ที่สามารถเข้าถึงแหล่งของข้อมูลนั้นโดยตรง จะต้องเขียนเต็ม
และไม่ใช่เขียนเฉพาะชื่อเว็บไซต์หลัก
- สำหรับเอกสารภาษาไทยให้ใช้ คำว่า "เข้าถึงได้จาก: …."
- สำหรับภาษาอังกฤษให้ใช้คำว่า " Available: " ที่เขียนเป็นตัวอักษรเอียง
หากไม่สามารถระบุชื่อผู้เขียนได้ก็ให้ใช้หลักการเช่นเดียวกับการอ้างอิงเอกสารทั่ว ๆ ไป เช่น

ตัวอย่าง...
นิรนาม. มปป. ระบบสารสนเทศด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย.
เข้าถึงได้จาก: http://www.teenet.chula.ac.th/conserv/info.asp. 25 มกราคม 2544.
Anonymous. 2003a. Engineering Biotechnology WebBooks : Bioreactors. Available:
http://www.chemeng.drexel.edu/web_books/EngBio/HIDDEN/react/tocdes.html. April 9, 2003.
Forday, W.L. 2003. E-learning of Biochemical_Engineering. Department of Biotechnology,
Ngee Ann Polytechnic, Singapore.
Available: http://www.np.edu.sg\~dept-bio\biochemical_engineering\lectures\index.html.
Frebuary 15, 2003.